EUR/USD: โฟกัสที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ
- ดัชนีดอลลาร์ DXY ติดลบ 5% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแนวโน้มลดลงมากที่สุดในรอบเดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2010 และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากกว่า 10% เทียบกับยูโรในช่วงเวลาเดียวกัน EUR/USD ซื้อขายอยู่ที่ 0.9541 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม และทำระดับสูงสุดที่ 1.0544 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม โดยมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน และสาเหตุหลักแน่นอนว่าเป็นเพราะการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารเฟดสหรัฐฯ
Jerome Powell ประธานธนาคารเฟดได้กล่าวเมื่อวันพุธที่ 30 พฤศจิกายน โดยยืนยันอีกครั้งว่า อัตราการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอาจชะลอตัว ในที่สุดตลาดก็เชื่อหลังคำพูดเหล่านี้ว่า อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไม่ถึง 75 จุดพื้นฐาน (bp) แต่จะขึ้นเพียง 50 จุดในเดือนธันวาคม ตลาดฟิวเจอร์สของอัตราดอกเบี้ยจึงคาดการณ์ว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยใด ๆ ในเดือนมกราคม แต่จะขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมหนึ่งหรือสองครั้งที่ 25 จุดพื้นฐาน ส่งผลให้ระดับสูงสุดของดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.75-5.00% โดยไม่ใช่ที่ 5.25% ตามที่เคยทำนายไว้ก่อนหน้า จากนั้นจะมีการปรับตัวลงอย่างช้า ๆ และราคาจะลดลงมาที่ 4.45% ภายในเดือนธันวาคม 2023
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่ตลาดตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะ 10 ปี จึงลดลงมาที่ 3.5% ซึ่งเป็นค่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน และพันธบัตรชุด 2 ปี ลดลงมาที่ 4.23% ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ คำกล่าวของประธานธนาคารเฟดยังสวนทางกับสถิติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งในทางหนึ่งนี้บ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อมีการชะลอตัว และอีกทางหนึ่งคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ และไม่ตกอยู่ในภัยของภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันรุนแรง ส่งผลให้ความต้องการในความเสี่ยงของตลาดเริ่มเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีหุ้น (S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ) ขยับขึ้น และพาคริปโตเคอเรนซีขึ้นไปด้วย และดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง
จีนแทรกแซงในอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์เช่นกัน Sun Chunlang รองประธานสภาของจีนกล่าวว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยลงเนื่องด้วยจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ดังนั้น ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้กับภาวะโรคระบาดกำลังเข้าสู่ขั้นใหม่ ทางการจะอนุญาตให้ผู้ที่ติดเชื้อบางกลุ่มสามารถกักตัวที่บ้านได้นอกเหนือจากที่โรงพยาบาล ซึ่งสิ่งนี้แปลว่ามาตรการต่อต้านโควิดจะมีการผ่อนคลายขึ้น และจะส่งผลบวกต่อความต้องการในการลงทุนของนักลงทุนในเอเชีย และดอลลาร์จะได้รับแรงสะเทือนอีกระลอกหนึ่ง โดยจะสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
คำกล่าวของประธานเฟดเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยง “ภาวะทรุดตัวของเศรษฐกิจ” ชี้ว่า ธนาคารกลางฯ อยากที่จะกดภาวะเงินเฟ้อลงมายังระดับเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ยับยั้งไม่ให้อัตราว่างงานสูงขึ้น ดังนั้น รายงานจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเร็ว ๆ นี้จะยิ่งเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น และสิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนจากปฏิกิริยาของตลาดต่อสถิติเศรษฐกิจที่ประกาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา อัตราว่างงานในสหรัฐฯ ยังคงที่ระดับเดิมและเป็นไปตามการคาดการณ์ที่ 3.7% แต่ในส่วนของจำนวนตำแหน่งงานที่สร้างขึ้นใหม่นอกภาคการเกษตรของประเทศ (NFP) อีกด้านหนึ่งนั้น ตัวเลขปรากฏว่าต่ำกว่าค่าของเดือนตุลาคม (284K) แต่ก็สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 200K และอยู่ที่ 263K ค่าเงินดอลลาร์ตอบสนองต่อสถิตินี้ด้วยการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ EUR/USD ตกลงมาที่ 1.0427 อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์นิ่งสงบลงแล้ว ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติและตลาดปิดที่ 1.0535
ในบรรดานักวิเคราะห์ที่ตอบการสำรวจ มี 50% คาดว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นต่อไปที่ 1.0600 และ 20% คาดว่าราคาจะกลับลงมาทิศใต้ ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 30% ชี้ว่าราคาจะขยับออกด้านข้าง ทั้งนี้ เมื่อเปลี่ยนเป็นการคาดการณ์ระยะกลาง จำนวนผู้โหวตแนวโน้มขาลงที่ชี้ว่าราคาจะตกลงไปต่ำกว่าระดับคู่ขนานที่ 1.0000 เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากถึง 75% ส่วนภาพรวมของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 แตกต่างออกไป ในที่นี้มี 100% ที่ให้สัญญาณสีเขียว 25% ชี้ว่าราคาอยู่ในโซนที่มีแรงซื้อมากเกินไป (overbought) ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์จำนวน 100% ให้สัญญาณสีเขียว
ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่ EUR/USD ตั้งอยู่ที่แนว 1.0500 จากนั้นเป็นระดับและโซนได้แก่ 1.0450-1.0467, 1.0380-1.0405, 1.0280-1.0315, 1.0220-1.0255, 1.0130, 1.0070, 0.9950-1.0010, 0.9885, 0.9825, 0.9750, 0.9700, 0.964, 0.9580 และสุดท้ายคือราคาต่ำสุดของวันที่ 28 กันยายนที่ 0.9535 ส่วนเป้าหมายถัดไปของตลาดหมีคือ 0.9500 ด้านกระทิงจะเจอกับระดับแนวต้านที่ระดับคือ 1.0545, 1.0620, 1.0750, 1.0865, 1.0935
เราจะมีสถิติเศรษฐกิจที่สำคัญที่ต้องจับตามองจำนวนมากในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีค้าปลีกในยูโรโซน และดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคบริการของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม สถิติ GDP ยูโรโซนใน Q3 จะประกาศในวันพุธที่ 7 ธันวาคม ด้านจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นจะประกาศให้ทราบในวันถัดไปที่ 8 ธันวาคม และดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ (PPI) ในวันที่ 9 ธันวาคม นอกจากนี้ ตลาดจะรอฟังคำแถลงของ Christine Lagard ประธานธนาคารกลางยุโรป ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 5 และ 8 ธันวาคมนี้
GBP/USD: ถ้าดอลลาร์ร่วงลง เงินปอนด์จะแข็งค่าขึ้น
- กิจกรรมทางธุรกิจในภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน: ดัชนี PMI ขยับขึ้นจาก 46.2 เป็น 46.5 จุด (จากที่คาดการณ์คือ 46.2) อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ชัดเจนใด ๆ ต่อราคาคู่ GBP/USD: โดยราคาขยับขึ้นแทบจะเป็นไปตามคู่ EUR/USD หลังตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ผลลัพธ์ในสัปดาห์จึงทำให้ราคาขยับขึ้นมาจาก 1.2153 เป็น 1.2310 ซึ่งเป็นค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม และราคาปิดตลาดท้ายสัปดาห์ต่ำกว่าระดับ 1.2280 เล็กน้อย
โดยรวมแล้ว ดอลลาร์อ่อนค่าลงประมาณ 1.2% เทียบกับเงินปอนด์ในรอบสัปดาห์ และขณะนี้ GBP/USD อยู่ห่างจากระดับสำคัญที่ 1.2450 ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ซึ่งต่ำกว่ากรอบด้านล่างในรอบหลายปีที่ราคาเคยขยับออกมาตั้งแต่ต้นปีปัจจุบัน นักยุทธศาสตร์จากเครือบริษัทการเงิน Societe Generale ของฝรั่งเศสชี้ว่า นี่คือจุดที่เป็นโซนแนวต้านที่สำคัญ “การถอยออกมาจากโซนนี้อาจนำไปสู่ระยะการย่อตัว” “ระดับสูงสุดของเดือนตุลาคมที่ 1.1500 ซึ่งเป็นระดับที่ 50DMA อีกด้วยนั้นคาดว่าจะเป็นแนวรับแรกหากแนวโน้มขาลงยังดำเนินต่อไป” ในกรณีที่ราคายืนเหนือ 1.2450 ได้สำเร็จ Societe Generale คาดการณ์ว่า แนวโน้มขาขึ้นจะไปต่อจนถึง 1.2750 และอาจสูงขึ้นต่อไปยังโซนที่ 1.3250-1.3300
แน่นอนว่า อย่างที่เราเคยเขียนไว้หลายครั้ง ท่าทีของธนาคารกลางของประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ และความเร็วและอัตราที่ประเทศเหล่านี้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงิน โดยมีความเป็นไปได้ว่า แรงกดดันภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักรอาจเป็นเหตุผลให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งขันโดยธนาคารแห่งชาติอังกฤษ (BoE) ได้ อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านชี้ว่า ธนาคารฯ น่าจะหลีกเลี่ยงมาตรการสุดขั้วใด ๆ เนื่องจากการใช้นโยบายทางการเงินที่รัดกุมเกินไปอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในระยะยาวได้ ทั้งนี้ เหตุการณ์สำคัญในช่วงท้ายปีจะเป็นการประชุมของธนาคารเฟด ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 และ 15 ธันวาคม ซึ่งแทบจะเป็นในช่วงเวลาเดียวกัน
การคาดการณ์กลางในขณะนี้นั้นคล้ายกันกับของคู่ EUR/USD: โดยผู้เชี่ยวชาญ 50% โหวตให้แนวโน้มกระทิง 30% โหวตแนวโน้มตลาดหมี และ 20% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง ในขณะเดียวกัน เมื่อปรับมาเป็นการคาดการณ์ในระยะกลาง จำนวนผู้สนับสนุนตลาดหมีเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในบรรดาอินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ในกรอบ D1 มี 100% ที่ให้สัญญาณสีเขียว แต่ในส่วนของออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณแล้วว่าคู่นี้มีแรงซื้อมากเกินไป (overbought) ด้านระดับและโซนแนวรับ ได้แก่ 1.2210, 1.2145, 1.2085, 1.2030, 1.1960, 1.1900, 1.1800-1.1840, 1.1700-1.1720, 1.1600, 1.1475-1.1500, 1.1350, 1.1230, 1.1150, 1.1100 และเมื่อราคาขยับขึ้นทิศเหนือ จะต้องเจอกับแนวต้านที่ระดับ ได้แก่ 1.2290-1.2310, 1.2425-1.2450 และ 1.2575-1.2610, 1.2750.
สำหรับกิจกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคมจะเป็นวันที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะมีการประกาศดัชนีรวมกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ของเดือนพฤศจิกายน และดัชนี PMI ภาคบริการของสหราชอาณาจักร การเปลี่ยนแปลงของดัชนีเดียวกันในภาคการก่อสร้างของอังกฤษจะประกาศในวันถัดมา วันพุธที่ 6 ธันวาคม
USD/JPY: เงิยเยนขอบคุณธนาคารเฟดอีกครั้ง
- กรอบการเทรดหลักของ USD/JPY ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในช่วง 137.50-140.60 โดยราคาพยายามจะขยับขึ้นไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน แต่รายงานผลการประชุมของคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการกำกับนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟด) ครั้งล่าสุดพาราคากลับมายังกรอบดังกล่าว นักวิเคราะห์เขียนไว้ในเวลานั้นว่า “ทั้งโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) ขอบคุณธนาคารเฟดสำหรับผลการปะรชุม ซึ่งช่วยส่งเสริมแนวโน้มการกลับตัว และกดค่าเงินดอลลาร์และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ”
ในสัปดาห์ที่แล้ว เป็นอีกครั้งที่โลกของเราขอบคุณธนาคารเฟดสำหรับคำกล่าวแถลงของ Jerome Powell ที่ส่งแรงสะเทือนถึงดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ 30 พฤศจิกายน และผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ลดต่ำลง USD/JPY ตัดผ่านกรอบด้านล่างหลังจากคำแถลงที่สำคัญดังกล่าว และตกลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 133.61
ค่าเงินอเมริกันมีโอกาสที่จะชดเชยส่วนที่ขาดทุนกลับมาได้หลังจากการประกาศอัตราการจ้างงานอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม ซึ่งดัชนี NFP อยู่ที่ 263K สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 200K และ USD/JPY พุ่งไปมากกว่า 230 ปิป ไปยัง 135.98 อย่างไรก็ดี จากนั้นตลาดก็ตระหนักว่าอัตราการว่างงานยังคงที่ที่ระดับเดิม และจำนวนตำแหน่งงานใหม่ 263,000 ตำแหน่งนี้เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 คู่นี้จึงกลับลงทิศใต้อีกครั้งและปิดที่ 134.33
ทั้งนี้ พันธบัตรชุด 10 ปีของสหรัฐฯ มีผลตอบแทนลดลงเหลือ 3.5% หลังจากคำแถลง “ที่สำคัญ” ของ Jerome Powell ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ทั้งนี้ การคาดการณ์ของนักยุทธศาสตร์ธนาคาร ING ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ชี้ว่า หากผลตอบแทนปิดท้ายปี 2023 ที่ประมาณ 2.75% USD/JPY อาจปิดท้ายที่ 125.00-130.00 ในขณะนั้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคาเคยซื้อขายในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2022
ในระหว่างนี้ การคาดการณ์อนาคตอันใกล้ก็ดูไม่ค่อยมีความชัดเจน นักวิเคราะห์จำนวน 45% โหวตให้กับแนวโน้มตลาดหมี 35% โหวตตลาดกระทิง และ 20% ไม่ขอให้ความเห็น แต่ในกรณีนี้มีผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) คาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมากในระยะกลาง ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 ให้ภาพรวมคือ 100% ชี้ไปยังขาลง 25% ชี้ว่าราคาอยู่ในโซนที่มีแรงขายมากเกินไป (oversold) ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์มีอัตราส่วนที่ 100:0 โดยสีแดงเป็นฝ่ายเป็นต่อ
ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่โซน 133.60 ตามมาด้วยระดับและโซน ได้แก่ 131.25-131.70, 129.60-130.00, 128.10-128.25, 126.35 และ 125.00 สำหรับระดับและโซนแนวต้าน ได้แก่ 135.20, 136.00, 136.65, 137.50-137.70, 138.00-138.30, 139.85, 140.60, 142.25, 143.75, 145.30, 146.85-147.00, 148.45, 149.45, 150.00 และ 151.55 เป้าหมายของฝั่งกระทิงคือต้องขึ้นไปและยืนให้เหนือระดับ 152.00 จากนั้นจะเป็นราคาสูงสุดของปี 1990 ที่บริเวณ 158.00
ในวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม เป็นวันสำคัญในปฏิทินเศรษฐกิจ เพราะจะเป็นวันที่มีการรายงานค่า GDP ใน Q3 ของญี่ปุ่น การคาดการณ์ชี้ว่าตัวชี้วัดดังกล่าวน่าจะติดลบเหมือนเดิมที่ 0.3% ซึ่งจะเป็นข้อสนับสนุนให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) เดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบสุดโต่งต่อไป ส่วนการประชุมของธนาคารฯ ครั้งถัดไปมีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 20 ธันวาคม และมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินเยนไม่เปลี่ยนแปลงที่ -0.1%
คริปโตเคอเรนซี: Cryptogeddon แทนที่ฤดูหนาวคริปโต
- หากก่อนหน้านี้ คำที่น่ากลัวที่สุดสำหรับนักลงทุนคือคำว่า “ฤดูหนาวคริปโต” ตอนนี้มีคำศัพท์ใหม่ปรากฏขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบันคือคำว่า "cryptogeddon" (คล้ายกันกับ Armageddon ซึ่งเป็นสนามรบสุดท้ายระหว่างพลังดีและพลังร้าย)
ทุกคนอาจจะเห็นด้วยว่าปีปัจจุบันนั้นเป็นปีที่ยอดแย่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมคริปโต หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2022 การล่มลงของเหรียญ Terra ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้เหรียญสองสกุลที่ติดสิบอันดับในเงินคริปโตล่มสลายไปเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งผลกระทบแบบโดมิโน่ที่ทำลายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมหลายราย ข่าวช็อคในเดือนพฤศจิกายนคือ การทรุดตัวลงของ FTX ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตและบริษัทที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งขณะนี้ยังมีข่าวลือที่ตั้งคำถามเรื่องทรัพย์สินทรัพย์ Digital Currency Group และบริษัทในเครือ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสองบริษัทคือ Genesis และ Grayscale
เหยื่อถัดไปของ "cryptogeddon" คือแพลตฟอร์ม BlockFi ซึ่งได้ยื่นล้มละลายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้ให้สินเชื่อที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์นี้ ได้แก่ Ankura Trust Company ($729 ล้านดอลลาร์), West Realm Shires Inc ($275 ล้านดอลลาร์) และแม้แต่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เองด้วยเช่นกัน ($30 ล้านดอลลาร์)
นักขุดเหรียญกำลังเผชิญกับปัญหาอันหนักหน่วงเนื่องจากต้นทุนในการขุดเหรียญบิทคอยน์ลดลงมาต่ำกว่าระดับราคาตลาด MacroMicro ประเมินว่า ต้นทุนอยู่ที่ $19,400 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ราคา $16,500 ต่อ BTC สถานการณ์นี้ทำให้ผลการขาดทุนของผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง Core Scientific Inc สูงถึง $1.7 พันล้านดอลลาร์ และใกล้ล้มละลายเต็มทีเช่นกัน.
(นอกจากนี้ ในวันที่ 6 ธันวาคม บิทคอยน์จะเผชิญกับความซับซ้อนในการประมวลผลที่ลดลงอย่างมากที่สุดในปีนี้ ตอนนี้จะใช้เวลามากกว่า 10 นาทีในการค้นหาบล็อก และการเปลี่ยนแปลงที่คาดหมายนี้จะเปลี่ยนจาก 6% ขึ้นเป็น 9%)
แม้ว่าจะมีการสูญเสียทั้งหมดนี้ อุตสาหกรรมคริปโตยังคงคาดหวังสถานการณ์ที่ดีที่สุด โดยการคาดการณ์หลักนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 1) BTC/USD จะดิ่งลงอีกครั้ง แต่จะกลับขึ้นมา และ 2) คู่นี้มาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเหลือแต่อนาคตที่สดใสรออยู่ ดังนั้นเราจะมาเริ่มกันที่คำคาดการณ์แรก
Mark Mobius ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเพื่อการลงทุน Mobius Capital Partners LLP ได้แบ่งปันคำคาดการณ์ว่า บิทคอยน์จะลดลงต่อ และเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ที่ $10,000 เขาเสริมว่า เขาจะไม่ลงทุนด้วยเงินของตนเองหรือเงินของลูกค้าในสินทรัพย์ดิจิทัลเพราะว่า “มันเสี่ยงเกินไป” “แต่คริปโตเคอเรนซีจะยังคงอยู่ เพราะมีนักลงทุนที่ยังคงเชื่อในคริปโต” นักลงทุนชื่อดัง “ให้ความเชื่อมั่น” กับผู้ที่สนับสนุนคริปโต
Mark Mobius ไม่ใช่คนเดียวที่มีความเห็นเช่นนี้ สถิติออปชั่นจาก Deribit ชี้ให้เห็นว่ามีจำนวนสัญญาขาย (put) บิทคอยน์จำนวนมาก โดยมีราคาใช้สิทธิที่ $10,000 ณ ปลายเดือนธันวาคม
Benjamin Cowen นักวิเคราะห์คริปโตกำลังรอให้ตลาดกระทิงเริ่มต้นในเร็ว ๆ นี้ แต่เขามองว่ามันจะเกิดขึ้นได้หลังจากราคาตกลงมาอย่างสังเกตเห็นได้ชัดและถึงจุดต่ำสุดอย่างแท้จริง “เรากำลังติดตามสัญญาณง่าย ๆ คือ การตัดผ่านค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะ 200 วัน และกราฟราคาบิทคอยน์” นักวิเคราะห์กล่าว เขามองว่าการตัดผ่านเส้นดังกล่าวจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 25-27 ธันวาคม จากนั้นเราจึงจะเห็นว่าราคาได้ขยับถึงจุดต่ำสุดและ BTC/USD จะเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเติบโตที่มั่นคง ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ประเมินว่าตอนนี้ราคายังไม่ถึงจุดต่ำสุด และนอกเหนือจากราคา BTC ที่ต้องตัดผ่านเส้น SMA 200 วันแล้ว เขายังอ้างอิงอินดิเคเตอร์ Puell Multiple ซึ่งค่าดัชนีต่ำสุดอยู่ที่ 0.3 ในวัฎจักรก่อนหน้า และในขณะนี้อินดิเคเตอร์ก็ลดลงเหลือ 0.375 ในปีนี้
Cowen ชี้ถึงระยะเวลาของตลาดหมี ซึ่งในอดีตจะกินเวลาประมาณหนึ่งปี วัฎจักรปี 2014 ใช้เวลา 14 เดือน และวัฎจักรปี 2018 ใช้เวลา 12 เดือน
Ton Vays นักเทรดคริปโตชื่อดังอธิบายว่า กระทิงจะสามารถส่งท้ายปีแห่งตลาดหมีได้อย่างไร เขาอธิบายว่า กระทิงจะเป็นผู้ดันราคาบิทคอยน์ให้ขึ้นไปยังราคาสูงสุดของเดือนพฤศจิกายน และจะเริ่มการทะยานขึ้น “ผมอยากเห็นราคาขึ้นไปที่ $23,000 หากมีการรีบาวด์เกิดขึ้น เราจะได้เห็นราคาปักหลักที่ $19,000 หลังจากนั้นจะกลับขึ้นไปที่ $23,000 ซึ่งจะเป็นสัญญาณ 95-98% ว่าตลาดกระทิงเริ่มขึ้นแล้ว”
นักเทรดคริปโตที่เคยทำนายการทรุดลงของบิทคอยน์ในปี 2018 อย่างแม่นยำยังไม่ตัดโอกาสที่ ในเร็ว ๆ นี้บิทคอยน์จะเจอกับแรงขายรอบใหม่ “อีกหนึ่งสถานการณ์คือ เราจะตกลงไปที่ $11,000 ผมเชื่อว่าตลาดกระทิงจะเริ่มขึ้นทันทีหลังจากนั้น เพราะผมไม่เชื่อว่าบิทคอยน์จะตกลงได้ต่ำกว่านั้น” ในกรณีใดก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขใด ๆ เหล่านี้ Vays คาดว่าบิทคอยน์จะขยับถึง $23,000 ภายในปีนี้หรือต้นปี 2023
สถานการณ์ที่สองเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มตลาดหมีนั้นมาจากสถิติของ IntoTheBlock นักวิเคราะห์จาก IntoTheBlock ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้บิทคอยน์กำลังเผชิญกับการถอยหลังกลับอย่างรุนแรง คือสถานการณ์ที่ฟิวเจอร์ส BTC มีราคาต่ำกว่าราคาจริงของสินทรัพย์ในตลาดทั่วไป (ตลาดสปอต) เป็นอย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดกำลังเจอแรงกดดันจากฝั่งผู้ขายอย่างรุนแรง นักเทรดกำลังเปิดคำสั่ง short จำนวนมากเพราะหวังว่าราคาบิทคอยน์จะต้องตกลงต่อ
ในขณะเดียวกัน IntoTheBlock ยังชี้ด้วยว่า ช่วงเวลาที่สัญญาฟิวเจอร์มีราคาถอยกลับเช่นนี้มักตรงกับช่วงขาลงในตลาด อย่างเช่นในเดือนมีนาคม 2020 และพฤษภาคม 2021 และมันอาจเป็นสัญญาณได้เช่นกันว่า คริปโตเคอเรนซีกำลังเจอจุดต่ำสุดในตอนนี้
ส่วนการคาดการณ์นี้เป็นของนักลงทุนรายย่อย (สูงสุด 10 BTC) ซึ่งตามรายงานของ Glassnode แพลตฟอร์มด้านการวิเคราะห์ชี้ว่า นักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มมีทัศนคิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อบิทคอยน์ และได้เก็บสะสมเหรียญจำนวนมากแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ FTX ล่มสลายและวิกฤติที่ยืดเยื้อ
โดยรายงานระบุว่า นักลงทุนกลุ่ม “กุ้ง” (ที่ถือเหรียญน้อยกว่า 1 BTC) ออมเงินเพิ่ม 96,200 เหรียญมูลค่า $1.6 พันล้านดอลลาร์ลงในพอร์ตของตนเองหลังจากวิกฤติ FTX เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็น “สถิติการเพิ่มขึ้นสูงสุด” และขณะนี้พวกเขามีเหรียญรวมทั้งสิ้น 1.21 ล้าน BTC ซึ่งคิดเป็น 6.3% ของอัตราหมุนเวียน ณ ปัจจุบันที่ 19.2 ล้านเหรียญ ในขณะเดียวกัน “กลุ่มปู” (ที่มีบิทคอยน์สูงสุดไม่เกิน 10 BTC) ซื้อเหรียญเพิ่มประมาณ 191,600 เหรียญ คิดเป็นมูลค่า $3.1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็น “ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ”
ในขณะที่กลุ่มปูและกุ้งต่างกำลังทยอยเก็บเหรียญบิทคอยน์ทำสถิติใหม่นั้น นักลงทุนรายใหญ่กำลังขายมัน Glassnode ระบุว่า วาฬบิทคอยน์ได้ปล่อยเหรียญจำนวน 6,500 BTC ($107 ล้านดอลลาร์) เข้าสู่ตลาดแลกเปลี่ยนในช่วงเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี นี่คือว่าเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยมาก ๆ จากจำนวนรวมทั้งหมด 6.3 ล้าน BTC ($104,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กลุ่มวาฬกำลังมีทัศนคติที่ดีอยู่เช่นกัน
อินฟลูเอนเซอร์หลายคนก็มองอนาคตในแง่บวกเช่นกัน Tom Lee หัวหน้าด้านการวิจัยของ Fundstrat Global Advisors และนักวิเคราะห์ชื่อดังกล่าวว่า เหตุการณ์น่าสลดที่เกิดขึ้นในปี 2022 ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้นเป็นช่วงเวลาแห่ง “การชำระล้าง” ของอุตสาหกรรมและปีหน้าจะเป็นปีที่ดีกว่าปีนี้ และบิทคอยน์ยังคงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการลงทุน
Michael Novogratz ซีอีโอของ Galaxy Digital บริษัทลงทุนในคริปโตกล่าวว่า สินทรัพย์ดิจิทัลจะไม่ละทิ้งตลาด แม้ว่าอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับวิกฤติความเชื่อมั่นในขณะนี้ “มีคน 150 ล้านคนที่ได้เลือกที่จะเก็บความมั่งคั่งของตนเองไว้ในบิทคอยน์ […] ดังนั้น Bitcoin, Ethereum จะไม่หายไป สกุลเงินคริปโตอื่น ๆ เช่นกัน” เขากล่าว
Novogratz คาดการณ์ว่าตลาดคริปโตจะฟื้นตัวและจะมีการเติบโตอย่างล่าช้า “คุณจะเห็นคนอย่าง Cathy Wood ซีอีโอของ ARK Invest เข้าสู่ตลาดคริปโตและลงทุนในเร็ว ๆ นี้ ผมไม่คิดว่านี่จะเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว มันน่าจะใช้เวลานาน และจะไม่ง่ายที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา บริษัทที่มีศูนย์กลางจะต้องมีท่าทีที่แตกต่างออกไป” นักธุรกิจรายนี้กล่าว
Cathy Wood เองตอบว่า “ใช่” กับ Yahoo เมื่อถูกถามว่าเธอยังคงยึดคำคาดการณ์เดิมว่าราคา BTC จะไปที่ $1 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 อยู่หรือไม่
ในระหว่างนี้ ณ ขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม) BTC/USD เทรดอยู่ในโซน $17,040 โดยความสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้น (S&P500, Dow Jones และ Nasdaq) ฟื้นขึ้นมาเกือบทั้งหมดแล้ว ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับขึ้นมาจาก 20 เป็น 27 จุดในเวลาเจ็ดวัน และสุดท้ายก็ออกจากโซนความกลัวขั้นสุด (Extreme Fear) เป็นโซนความกลัว (Fear) ด้านมูลค่ารวมตามราคาตลาดของตลาดคริปโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกันและขณะนี้อยู่ที่ $0.859 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ($0.833 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า)
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ