บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 9 - 13 พฤศจิกายน 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD อย่างที่เราได้คาดการณ์ไว้ในบทวิเคราะห์ครั้งที่แล้ว ชัยชนะของโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และรายงานที่ดูดีขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ยูโรและสกุลเงินคู่แข่งของดอลลาร์สามารถฟื้นตัวจากตำแหน่งที่เคยสูญเสียไปก่อนหน้าได้อย่างรวดเร็ว
    สำหรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ยังไม่มีข่าวบวกใด ๆ จากฝั่งนี้ นอกจากนี้ ในช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ มีการทำสถิติยอดผู้ติดเชื้อสูงสุดใหม่ 100,000 รายภายในวันเดียวเท่านั้น
    นายโจ ไบเดน ยังไม่ได้รับชัยชนะอย่างเป็นทางการ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เจ้าของทำเนียบขาวคนใหม่จะเป็นเขา ทำให้มีเงินจากนักลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก นักลงทุนชื่นชอบกับผลลัพธ์ชัยชนะของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และการแบ่งแยกสภาคองเกรสเป็นสองส่วน ในกรณีนี้ มีโอกาสที่น้อยลงในการปรับเพิ่มภาษี และเนื่องด้วยโอกาสที่จะมีการผ่อนปรนกฎระเบียบต่าง ๆ สถานการณ์จะเริ่มง่ายยิ่งขึ้นสำหรับบริษัทไอที จากการคาดการณ์นี้ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ในขณะที่ S& P500, Dow Jones รวมถึงเงินยูโร และค่าเงินสกุลหลักอื่น ๆ แข็งค่าขึ้น เงินหยวนจีนฟื้นขึ้นมากว่าครึ่งหนึ่งจากที่เคยอ่อนค่าลงจากสงครามการค้าที่ริเริ่มโดย นายโดนัลด์ ทรัมป์ เงินยูโรของยุโรปก็มีการเติบโตที่น่าประทับใจเช่นกัน โดยเริ่มต้นวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ระดับ 1.1645 คู่ EUR/USD ไต่ถึงระดับ 1.1890 ภายในวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน จึงขึ้นมาทั้งหมด 245 จุด และปิดตลาดที่ 1.1875
  • GBP/USD สกุลเงินปอนด์อังกฤษไม่ได้แข็งค่าขึ้นเพราะดอลลาร์อ่อนค่าลงเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผลการตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ซึ่งอนุมัติให้มีการอุดหนุนเศรษฐกิจประเทศเพิ่มเติมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน โดยการเพิ่มปริมาณการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลจาก £150 พันล้านปอนด์เป็น £895 พันล้านปอนด์ ตลาดได้คาดการณ์ว่าการเพิ่มการขายพันธบัตรรัฐบาลเป็น £845 พันล้านปอนด์ และมาตรการขยาย QE เพิ่มเติมนั้นเป็นปัจจัยที่ดันราคาขึ้นไปยังระดับสูงสุดของวันที่ 21 ตุลาคมที่ 1.3175 และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3150 ซึ่งถือว่าราคาขึ้นมา 200 จุด
  • USD/JPY อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ที่เราให้ไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว เราระบุว่า:
    “ขณะนี้ คู่นี้อยู่ตรงกลางระหว่างระดับที่สำคัญมากสองระดับ คือ 104.00 และ 105.00 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปขึ้นอยู่กับความต้องการในความเสี่ยงของนักลงทุน และสิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้
    ผู้เชี่ยวชาญ 65% สนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์ 85% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เชื่อว่า ราคาจะพยายามตัดทะลุแนวรับที่ 104.00 อีกครั้ง แต่มีเพียง 30% ที่มั่นใจว่าราคาจะสามารถขยับถึงโซน 103.00 ได้สำเร็จ”
    และลองตัดสินดูด้วยตนเองว่าคำทำนายนี้แม่นยำขนาดไหน ราคาได้ตัดทะลุแนวรับที่ 104.00 และขยับลงไปถึง 103.17 ตามมาด้วยการรีบาวด์เล็กน้อยและปิดตลาดที่ 103.30
  • คริปโตเคอเรนซี เราจะมาเริ่มกันที่สถิติ จากรายงานของ Google Trends จำนวนการค้นหาคำที่เกี่ยวกับบิทคอยน์พบมากในประเทศไนจีเรีย คิวบา แอฟริกาใต้ และแคเมอรูน ซึ่งเป็นประเทศ 5 อันดับแรกที่มีความสนใจในบิทคอยน์มากที่สุด รวมถึงกาน่าที่เกือบจะติด 5 อันดับแรก ในขณะที่คนในไต้หวัน คาซัคสถาน และญี่ปุ่น มีคำค้นหาดังกล่าวน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ
    และก่อนที่จะเริ่มเรื่องเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์เงินคริปโต เราจะมาดูที่สถิติอื่น ๆ จากโลกอาชญากรรม ในขณะนี้ เราทราบแล้วว่า สินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกโจรกรรมไปโดยนักอาชญากรไซเบอร์มีเท่าไรบ้าง จากรายงาน Atlas VPN บริการการวิเคราะห์ชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2012 เหล่าแฮ็คเกอร์ได้ขโมยเงินบิทคอยน์เป็นเงินมากกว่า $13.6 พันลานเหรียญ โดยทำการแฮ็คมากกว่า 330 ครั้ง ส่วนใหญ่นั้นเป็นการแฮ็คเงินจากตลาดซื้อขายเงินคริปโตและวอลเล็ตเงินคริปโต รายงานฉบับนี้ระบุว่า มีการโจรกรรมที่สำเร็จ 87 ครั้งเกิดขึ้นบนแพล็ตฟอร์มการเทรด ซึ่งคนที่โจรกรรมนั้นได้ถอนเงินไปถึง $4.8 พันล้านเหรียญ ในส่วนวอลเล็ตมีความเสียหายมากกว่า โดยคิดเป็นเงินเกือบ $7.2 พันล้านเหรียญดอลลาร์
    และตอนนี้ก็มาถึงข่าวหลักที่เราให้สัญญาไว้: บิทคอยน์ทะยานขึ้นไปถึงระดับ $15.880 เมื่อคืนวันที่ 5-6 พฤศจิกายน จึงขึ้นมา 17.2% ตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม ราคาบิทคอยน์ทะยานขึ้นมาโดยมีความสัมพันธ์กับดัชนีหลักทรัพย์ ได้แก่ Dow Jones, Nasdaq and Standard & Poor's 500 และทองคำ ซึ่งไม่น่าประหลาดใจเพราะว่าในช่วงการแพร่ระบาด ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ได้พิมพ์ธนบัตรจำนวนมหาศาล และนักลงทุนรายใหญ่หลายคนกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ จึงเพิ่มบิทคอยน์เข้ามาในพอร์ตในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้น ราคา BTC/USD จึงทะยานขึ้นมาในช่วงครึ่งหลังของสัปดาห์ และก็มีความเกี่ยวข้องกับชัยชนะของ นายโจ ไบเดน ในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงโดยรวม และมีเงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความเสี่ยง
    มูลค่ารวมของตลาดเงินคริปโตเติบโตขึ้นใน 7 วันถึง 9% โดยขยับจาก $410 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น $447 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดัชนี Crypto Fear & Greed Index อยู่ที่ประมาณ 90 เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน ในโซนที่นักพัฒนาดัชนีชี้ว่าเป็นช่วง “ความโลภสูงสุด” ตัวเลขนี้ตรงกับการบ่งชี้ว่าคู่ BTC/USD มีแรงซื้อมากเกินไปและอาจจะมีการปรับฐานราคา อย่างไรก็ตาม การปรับฐานส่วนหนึ่งนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว และราคาย้อนกลับมาที่โซน $15,150 จากระดับสูงสุดของสัปดาห์ ก่อนที่จะปิดตลาดรอบเจ็ดวันที่ $15,510
    การเติบโตของบิทคอยน์ช่วยฉุดอัลท์คอยน์อื่น ๆ ขึ้นไปด้วย  Ethereum (ETH/USD) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา 15% ตลอดสัปดาห์ แรงหนุนเพิ่มเติมของเหรียญนี้ยังมาจากข่าวการเปิดตัว ETH 2.0 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักพัฒนาสามารถระดมเงินทุนจำนวน 524,288 ETH (ประมาณ $230 ล้านเหรียญสหรัฐ) และนักลงทุนจะต้องแช่แข็งเงินไว้เป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งถึงสองปี โดยคาดการณ์ผลตอบแทนที่ 8-15% ต่อปี หากมีการระดมเงินได้เท่าที่ต้องการในเดือนพฤศจิกายนนี้ การเปิดตัว ETH 2.0 จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 ธันวาคม เวลา 12:00 นาฬิกา ตามเวลา UTC

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนยังคงเทเงินเข้ามาในตลาดหุ้น โดยหวังว่าชัยชนะของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะทำให้คลื่นเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ตลาดก็ลืมด้วยว่า สถานการณ์ไวรัสโคโรนานั้นยังคงเลวร้ายยิ่งขึ้น นายทรัมป์ยังไม่ไปไหน และยังไม่มีผู้ใดยกเลิกภาระการคลัง และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำสัญญาที่ให้ไว้จากการเลือกตั้ง ซึ่งหากทรัมป์แพ้ เขาอาจจะประท้วงผลการเลือกตั้ง ดังนั้น เราจึงต้องไม่ลืมเกี่ยวกับการอ่อนค่าโดยรวมของเงินดอลลาร์ด้วยเช่นกัน
    โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติที่ดีของนักลงทุนจากดอลลาร์ต่อหุ้น พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ บิทคอยน์ และยูโร แม้ว่าจะพอเข้าใจได้ แต่ก็ถือว่ายังเร็วเกินไป ทุกอย่างอาจพลิกกลับในทางตรงกันข้ามได้ในชั่วข้ามคืน
    ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงค่อนข้างเป็นปกติที่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มเท่า ๆ กัน: หนึ่งในสามโหวตว่า EUR/USD จะขยับขึ้น อีกหนึ่งในสามโหวตให้กับแนวโน้มขาลง และอีกหนึ่งในสามมีท่าทีเป็นกลาง สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 ยังคงให้สัญญาณสีเขียว แต่ในหมู่ออสซิลเลเตอร์ 25% ให้สัญญาณแล้วว่าราคาอยู่ในโซน overbought ซึ่งแปลว่า เทรนด์อาจกลับตัวลงมาและมีการปรับฐานอย่างรุนแรง การกลับทิศทางของเทรนด์นี้ยังชี้ให้เห็นในการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1
    ราคาคู่นี้อยู่โซนระดับแนวรับ/แนวต้านระยะกลางที่สำคัญ 1.1880-1.1900 ในตอนนี้ โดยระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดคือ 1.1760, 1.1700 และ 1.1610 ระดับแนวต้าน คือ 1.1965 และระดับสูงสุดของวันที่ 1 กันยายน 1.2010 ทั้งนี้ ควรคำนึงว่า ราคาสูงสุดนั้นอยู่ที่ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2018 และหาก EUR/USD ยังคงทะยานขึ้นต่อไป เป้าหมายหลักถัดไปจึงน่าจะเป็นที่โซน 1.2200-1.2400
  • GBP/USD มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อว่า “The King's Speech” ซึ่งอุทิศให้กับพระเจ้าจอร์จที่สี่ พระบิดาของพระราชินีอลิธซาเบ็ธของสหราชอาณาจักร สัปดาห์ที่จะถึงนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “สุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางอังกฤษ” นอกจากนี้ เขายังมีกำหนดให้สุนทรพจน์อีกหลายครั้ง นายแอนดริว ไบเลย์ มีกำหนดจะกล่าวถ้อยแถลงในวันที่ 9, 12 และ 13 พฤศจิกายน นอกจากนี้ เราจะทราบสถิติตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรในวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน และ GDP ประเทศในไตรมาสที่สาม รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคในวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน จากการคาดการณ์นั้น ตัวเลขค่อนข้างจะขัดแย้งกัน ในทางหนึ่ง GDP อาจเติบโตขึ้นจาก -19.8% เป็น +15.8% แต่ในอีกทางหนึ่ง มีการคาดการณ์ว่ายอดผู้ขอใช้สวัสดิการว่างงานน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 28.0K เป็น 78.8K ในขณะนี้้ ความคลุมเครือของอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ยังขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ รวมถึงข้อกำหนดในข้อตกลงเบร็กซิตกับอียูที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
    ดังนั้น เราจึงมีแนวโน้มที่ค่อนข้างคลุมเครือสำหรับคู่ GBP/USD แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) ยังมองแนวโน้มขาขึ้นต่อไป ในตอนแรกที่ระดับ 1.3265 จากนั้นอาจไปต่อที่ระดับสูงสุดของวันที่ 01 กันยายนที่ 1.3480
    เป้าหมายระดับแนวต้านถัดไปคือ 1.3175
    สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ในที่นี้ สถานการณ์คล้ายกันอย่างชัดเจนกับการวิเคราะห์คู่ EUR/USD อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ D1 ชี้ไปทางทิศเหนือ ในขณะที่การวิเคราะห์กราฟชี้ไปทางทิศใต้ ตลอดจนออสซิลเลเตอร์ 25% ซึ่งให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง overbought โดยมีแนวรับ ได้แก่ 1.3085, 1.3000, 1.2855 ทั้งนี้ เป้าหมายถัดไปของตลาดหมีคือ 1.2755 แต่ก็มีแนวโน้มต่ำที่ราคาจะขยับถึงระดับดังกล่าวในสัปดาห์นี้
  • USD/JPY ดังนั้น อย่างที่เราเคยระบุไว้ ท่ามกลางการนับผลการเลือกตั้งที่ยืดเยื้อในสหรัฐฯ ดอลลาร์อ่อนค่าลงมายังระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อไป ตลาดค่าเงินกำลังเดิมพันว่า นายโจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครตจะได้เป็นประธานาธิบดีคนถัดไป แต่พรรครีพับลีคกันยังคงคุมวุฒิสภาอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้ นักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่า เงินเยนญี่ปุ่นจะยังคงแข็งค่ามากกว่าดอลลาร์ และทำให้ราคาสามารถตัดทะลุแนวรับที่โซน 103.00 และขยับถึงระดับ 102.00 (และหากตัดผ่านอาจลงไปได้ถึง 101.75) ทั้งนี้ ราคาไม่เคยขยับมาต่ำขนาดนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาเมื่อเดือนมีนาคม 2020
    ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน เราอาจจะไม่รู้สึกประหลาดใจนักเมื่อเห็นผลการวิเคราะห์คู่ USD/JPY ที่ตรงกันกับการวิเคราะห์ “เพื่อนร่วมงาน” คู่อื่นๆ ก่อนหน้า โดยมีข้อแตกต่างเดียวก็คือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของคู่นี้ในทางลง ไม่ใช่ในทางขึ้นอย่างในกรณีของเงินยูโรและปอนด์
    ในส่วนผู้เชี่ยวชาญ 30% เข้าข้างกับฝั่งกระทิงและโหวตว่า USD จะกลับมาตอนแรกที่แนวต้าน 104.00 และจากนั้นจะคงที่ที่โซน 104.00-105.00
  • คริปโตเคอเรนซี การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้กลายเป็นไพ่แห่งชัยชนะสำหรับบิทคอยน์ ยิ่งธนาคารกลางต่าง ๆ พิมพ์ธนบัตรเพิ่มมากขึ้นเพื่อหนุนเศรษฐกิจเท่าไร นักลงทุนจะพยายามเก็บบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงแต่รายย่อย แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายสถาบันขนาดใหญ่เช่นกัน
    คริปโตเคอเรนซีไม่เป็นสินทรัพย์นอกคอกสำหรับยักษ์ใหญ่ทางการเงิน เช่น JPMorgan และ PayPal “ราชาแห่งพันธบัตร” นายเจฟฟรี กุนด์ลาค ประธานบริษัทบริหารจัดการ DoubleLine Capital ($141 พันล้านดอลลาร์) ที่ก่อนหน้านี้เคยเรียกบิทคอยน์ว่า “เรื่องโกหก” ขณะนี้ก็แนะนำให้เก็บบิทคอยน์ไว้เป็นหลักประกันต่อเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
    ตามความเห็นของ นายไบรอัน บรูคส์ ประธานสำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราสหรัฐฯ (OCC) มองว่า ธนาคารสหรัฐฯ บางแห่งกำลังเจรจากับผู้ให้บริการเงินคริปโตรายใหญ่อย่าง Anchorage และ Coinbase เกี่ยวกับความร่วมมือที่อาจเกิดขึ้น นายบรูคส์เชื่อว่า สถาบันทางการเงินรอบโลกจะไม่สร้างนวัตกรรมเพื่อเก็บเงินคริปโตเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ แต่จะซื้อบริการจากผู้นำในตลาดหรือเข้าร่วมในความร่วมมือกับบริษัทเหล่านี้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของพวกเขา ตามรายงานของ นายไบรอัน เอสเตส ผู้ก่อตั้งกองทุน Off the Chain Capital Investment ชี้ว่า ครัวเรือนประมาณ 90% ในสหรัฐฯ จะใช้งานเหรียญ BTC ในปี 2030
    สำหรับในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า หลังจากราคาได้ยืนเหนือระดับสำคัญที่ $12,000 ได้แล้ว ก็จะไม่มีอุปสรรคสำหรับบิทคอยน์ที่จะไปถึง $20,000 อีกต่อไป ในขณะนี้ นักวิเคราะห์ 60% เห็นด้วยว่า คู่ BTC/USD จะทะยานขึ้นไปโจมตีระดับ $16,000 ในอนาคตอันใกล้
    แม้ว่าจะมีความเห็นอื่น ๆ เช่น นายวิลลี วู นักวิเคราะห์ชื่อดังผู้เชื่อว่า บิทคอยน์ได้เข้าสู่ระยะ “สินทรัพย์หลบภัย โดยความสัมพันธ์ของบิทคอยน์กับอุตสาหกรรมตลาดอื่น ๆ ค่อย ๆ ลดลง สิ่งนี้รับประกันเสถียรภาพของสินทรัพย์ จึงไม่คุ้มค่าที่จะรอให้ราคาทะยานขึ้นอย่างเมื่อปี 2017 และหากบิทคอยน์เติบโตอย่างเร่งตัว ราคาจะต้องมีการปรับฐานอย่างต่อเนื่องและกลับมาสู่โซน $14,000-$15,000 ในที่สุด” นักวิเคราะห์ 40% เห็นด้วยกับมุมมองนี้ ในขณะที่ในระยะกลาง มีจำนวนผู้ที่เห็นด้วยเพิ่มเป็น 60% อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่า ปัจจัยชี้ชะตาสำหรับ BTC/USD ในอนาคตอันใกล้นั้นคือ ความสำเร็จของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ โจ ไบเดน ในการต่อสู้เพื่อตำแหน่งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา